วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10.30-12.30 น.
ความรู้ที่ได้รับ
- วันนี้ เพื่อน ๆ นำเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและจังหวะที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์
กีเซลล์
กีเซลล์
กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก
เป็นพฤติกรรมด้านต่าง ๆ สำหรับพัฒนาการทางร่างกายนั้นหมายถึง
การที่เด็กแสดงความสามารถในการจัดกระทำ กับวัสดุ เช่น การเล่น ลูกบอล การขีดเขียน
เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน
ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหว
การทำ งานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย
การบังคับส่วนต่าง ๆของร่างกาย
กีเซลล์ ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว
เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความสัมพันธ์
ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด
2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว
เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การ
ประสานงานระหว่างตากับมือ
3. พฤติกรรมทางด้านภาษา
จะเป็นการแสดงออกทางหน้าตาและการใช้ภาษา การสื่อสาร
4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก
ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะ แวดล้อมและสภาพความเป็นจริง
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
อี พอล ทอร์แรนซ์ (E. Paul Torrance) นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา
หรือสิ่งที่บกพร่องขาดหายไปแล้วรวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น
ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น
Torrance เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งทางด้านความคิดสร้างสรรค์
ได้สร้างทฤษฎีและแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก
เขากล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์จะแสดงออกตลอดกระบวนการของความรู้สึกหรือการเห็นปัญหาการรวบรวมความคิดเพื่อตั้งเป็นข้อสมมติฐาน
การทดสอบ และดัดแปลงสมมติฐานตลอดจนวิธการเผยแพร่ผลสรุปที่ได้ความคิดสร้างสรรค์
จึงเปนกระบวนการแก้ ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง และทอร์แรนซ์เรียกกระบวนการลักษณะนี้ว่ากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคค์หรือ “The creative problem solving process”
กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ แบ่งออกได้
5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การพบความจริง (Fact – Finding) ในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกกังวล มีความสับสน วุ่นวาย เกิดขึ้นในจิตใจ
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร จากจุดนี้ก็พยายามตั้งสติ
และหาข้อมูลพิจารณาดูว่าความยุ่งยาก วุ่นวาย สับสน
หรือสิ่งที่ทำให้กังวลใจนั้นคืออะไร
ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา ( Problem – Finding) ขั้นนี้เกิดต่อจากขั้นที่ 1
เมื่อได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว จึงเข้าใจและสรุปว่า ความสับสนวุ่นวายนั้นก็คือ
การเกิดปัญหานั่นเอง
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมติฐาน ( Idea – Finding ) ขั้นนี้ต่อจากขั้นที่ 2
เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะพยายามคิดและตั้งสมมติฐาน และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่ 3
ขั้นที่ 4 การแก้ปัญหา ( Solution – Finding) ในขั้นนี้จะพบคำตอบจากการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่ 3
ขั้นที่ 5 ยอมรับผลจากการค้นพบ ( Acceptance – finding) ขั้นนี้เป็การยอมรับคำตอบที่ได้จากการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว่าน่าจะแก้ปัญหาให้สำเร็จได้อย่างไร
แต่ต่อจากจุดนี้การแก้ปัญหาหรือการค้นพบยังไม่จนตรงนี้
แต่ผลที่ได้จากการค้นพบจะนำไปสู่หนทางที่จะทำให้เกิดแนวคิดหรือสิ่งใหม่ต่อไปที่เรียกว่า
New Challent
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
ความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึก
หากเด็กรู้สึกอย่างไรก็จะมีการแสดงออกและเคลื่อนไหวออกมาแบบนั้น เช่น
เด็กฟังเพลงเด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อเพลง ๆ นั้น
เด็กก็จะเคลื่อนไหวและแสดงออกมาตามบทเพลงที่เด็กได้ฟัง
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวด้านสังคม
ทฤษฎีของอิริคสัน
อิริสันเป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฏีขึ้นในแนวคิดของฟรอยด์
แต่ได้เน้นความสําคัญของทางด้านสังคม
วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจว่ามีบทบาทในการพัฒนาการบุคลิกภาพมาก
ความคิดของอิริสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่าเห็นความสําคัญของEgo มากว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น
แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ด้วยเหตุที่อิริสันเน้นกระบวนการทางสังคมว่าเป็นจุดกระตุ้นหล่อหลอมบุคลิกภาพ
เขาจึงได้เรียกทฤษฎีของเขาว่า เป็นทฤษฏีจิตสังคม
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น
8 ขั้น ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ
ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก
อีริคสันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป
เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้
ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง
อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี
วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายกาย
ช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น
อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ
เป็นตัวของตัวเอง
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี
อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความ
คิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆจะสนุกจากการ
สมมุติของต่างๆเป็นของจริงเช่นอาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ขับรถยนต์ เหมือนผู้ใหญ่
***สามขั้นแรกเป็นขั้นพัฒนาการที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย***
ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว
ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง
ทฤษฎีของอิริคสัน
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
ตามทฤษฎีอาจกล่าวได้ว่าเด็กมักมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ
ต้องการที่จะเรียนรู้และทำอะไรด้วยตนเอง และในวัยนี้มักมีการเคลื่อนไหวจากการเล่น
ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา
อัลเบิร์ต แบนดูรา กล่าวว่า
การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์
อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ โดยผู้เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบ
และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ
ของตัวแบบ สภาพแวดล้อมของตัวแบบ ผลการกระทำ คำบอกเล่า
และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้
ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 กระบวนการ
1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ
(Attentional Process)
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เด็กได้สังเกตตัวแบบ
และตัวแบบนั้นดึงดูดให้เด็กสนใจที่จะเลียนแบบ ควรเป็นพฤติกรรมง่าย ๆ
ไม่สลับซับซ้อน ง่ายต่อการเอาใจใส่ของเด็กที่เกิดการเลียนแบบและเกิดการเรียนรู้
2. กระบวนการคงไว้ (Retention
Process)
คือ กระบวนการบันทึกรหัสเป็นความจำ
การที่เด็กจะต้องมีความแม่นยำในการบันทึกสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยินเก็บเป็นความจำ
ทั้งนี้ เด็กดึงข้อมูลที่ได้จากตัวแบบออกมาใช้กระทำตามโอกาสที่เหมาะสม
เด็กที่มีอายุมากกว่าจะเรียนรู้จากการสังเกตการณ์กระทำที่ฉลาดของบุคคลอื่น ๆ
ได้มากกว่า โดยประมวลไว้ในลักษณะของภาพพจน์ และในลักษณะของภาษา
และเด็กโตขึ้นนำประสบการณ์และสัญลักษณ์ต่าง ๆ
มาเชื่อมโยงและต่อมาจะใช้การเรียนรู้มีเทคนิคที่นำมาช่วยเหลือความจำ คือ การท่องจำ
การทบทวน หรือการฝึกหัด และการรวบรวมสิ่งที่เกี่ยวพันกันในเหตุการณ์
ซึ่งจะช่วยให้เขาได้เก็บสะสมความรู้ไว้ในระดับซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เมื่อต้องการ
3.กระบวนการแสดงออก
คือการแสดงผลเรียนรู้ด้วยการกระทำคือ
การที่เด็กเกิดผลสำเร็จในการเรียนรู้จากตัวแบบต่างๆ
4. กระบวนการจูงใจ (Motivational
Process)
คือ
กระบวนการเสริมแรงให้กับเด็กเพื่อแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบได้ถูกต้อง
โดยเด็กเกิดการเรียนรู้จากการเรียนรู้จากการเลียนแบบตัวแบบที่จะมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียงมากกว่าบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง
จากการเลียนแบบตัวแบบที่มาจากบุคคลที่เป็นเพศเดียวกับเด็กมากกว่าจะเป็นเพศตรงข้ามกัน
จากการเลียนแบบตัวแบบที่เป็นรางวัล เช่น เงิน ชื่อเสียง สถานภาพทางเศรษฐกิจสูง
จากพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกลงโทษ มีแนวโน้มที่จะไม่ถูกนำมาเลียนแบบ
และจากการที่เด็กได้รับอิทธิพลจากตัวแบบที่มีความคล้ายคลึงกับเด็ก ได้แก่ อายุ
หรือสถานภาพทางสังคม
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
คือ
เมื่อเด็กเห็นในสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นในทีวี ในบ้าน หรือว่านอกบ้าน
สิ่งต่างที่เด็กเห็นนั้นล้วนมีการเคลื่อนไหว แสดงท่าทางต่างๆ
แล้วเมื่อเด็กจะสังเกตุ สมองของเด็กจะมีการจดจำในสิ่งพวกนั้น
แล้วนำมาทำตามหรือเรียกว่า "เลียนแบบ“ จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวตามสิ่งต่างๆ
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวด้านสติปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
เน้นการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยกฎ 3 ประการ(Thorndike. n. d. อ้างถึงใน
เชาวลิต ภูมิภาค.2532 : 109-110) ได้แก่
1. กฎแห่งความพร้อม (Law
of Readiness)
2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise)
3. กฎแห่งผล (Law of Effects)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ (Piaget. 1964) อธิบายว่าพัฒนาการทางสติปัญญาของคนมีลักษณะเดียวกันในช่วงอายุเท่ากันและแตกต่างกันในช่วงอายุต่างกัน
พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมโดยบุคคลพยายามปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลด้วยการใช้กระบวนการดูดซึมและกระบวนการปรับให้เหมาะสมจนทำให้เกิดการเรียนรู้โดยเริ่มจากการสัมผัส
ต่อมาจึงเกิดความคิด
ทางรูปธรรมและพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดความคิดที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามลำดับ
เพียเจต์ถือว่าการให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆ จะส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้
โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยซึ่งอาศัยการรับรู้เป็นสื่อในการกระตุ้นทางความคิดของเด็ก
จำเป็นต้องให้เด็กได้มีโอกาสเคลื่อนไหวและสัมผัสสิ่งต่างๆ
ทฤษฎีนี้เป็นประโยชน์ในการจัดเนื้อหากิจกรรมทางการเคลื่อนไหว
โดยให้เด็กได้สัมผัสกับวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งใหม่
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์ (Jerome S. Bruner)
เชื่อว่าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการ ภายในอินทรีย์ (Organism) เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก
ซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
ทฤษฎีของบรูเนอร์
เน้นหลักการ
กระบวนการคิด ซึ่งประกอบด้วย ลักษณะ 4 ข้อ คือ
1.แรงจูงใจ (Motivation)
2.โครงสร้าง (Structure)
3.ลำดับขั้นความต่อเนื่อง (Sequence)
4.การเสริมแรง (Reinforcement)
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น
3 ขั้น คือ
1. ขั้นการกระทำ (Enactive Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง
และการคิดจากจินตนาการ
3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง
ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ สิ่งที่พบเห็น
ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
คือ เป็นความสามารถในการคิด จินตนาการ
ความคิดแปลกใหม่โดยอาศัยความคิดและประสบการณ์เดิมแล้วนำมาปรับปรุง
มีการคิดได้อย่างอิสระคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
จะแสดงออกโดยการเคลื่อนไหวและออกแบบท่าทางต่างๆขึ้นมาตามความคิดของเด็กเอง เช่น
การที่เด็กจินตนาการคิดว่าตนเองเป็นผีเสื้อ เด็กจะทำการคิดผ่านกระบวนการต่างๆแล้วแสดงออกมาเป็นท่าทางของผีเสื้อ
เช่น ผีเสื้อมีปีก ผีเสื้อต้องบิน เป็นต้น
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 11.30-14.30 น.
ความรู้ที่ได้รับ
วันนี้อาจารย์ให้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหว โดยให้ออกมาทำท่าเคลื่อนไหวประกอบเพลงหน้าชั้นเรียน
วันนี้เป็นการออกมาทำท่าเคลื่อนไหวต่าง ๆ ประกอบกับเพลง ซึ่งอาจารย์ได้ให้คำแนะนำว่า เราเน้นท่าแอโรบิคเกินไป ซึ่งสำหรับเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นท่าแอโรบิค เพียงแค่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่หัวจรดเท้า อาจจะเป็นท่าทางน่ารัก ๆ สำหรับเด็กที่เราคิดขึ้นมาเองก็ได้
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- เราสามารถนำความรู้ แนวคิดจากทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว มาใช้เป็นหลักในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยได้
- การได้เรียนรู้จากครูเกี่ยวกับการสอนเคลื่อนไหวเบื้องต้น ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น ว่าควรสอนเด็กอย่างไร ให้ถูกต้อง และเหมาะสมกับเด็ก
การประเมินผล
ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมต่าง ๆ สนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ที่อาจารย์มอบให้
ประเมินเพื่อน : เพื่อนน่ารัก มีอะไรไม่เข้าใจก็จะช่วยเหลือกันเสมอ สร้างเสียงหัวเราะในการเรียน
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์น่ารักมากค่ะ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เรียนกับอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน เรียนสนุก ไม่น่าเบื่อ พร้อมทั้งได้ประสบการณ์ แนวคิดในการดำเนินชีวิตด้วย หนูชอบมาก